สาระน่ารู้ ... จากเอกการยาง

ข้อแนะนำ จาก ... ไทร์พลัสเอกการยาง

ความรู้และข้อแนะนำดี ๆ จาก ไทรพลัส เอกการยาง เกี่ยวกับเรื่องของแบตเตอรี่ว่าใช้ยังไง ใช้อย่างไร ดูและเช็คอย่างไร ถอด ใส่แบบไหน ? การดูแล แบตเตอรี่รถยนต์ แบบง่าย ๆ ใคร ๆ ก็ทำได้

 

พูดว่าแบตเตอรี่รถยนต์คิดว่าคงไม่มีใครไม่รู้จัก คงไม่ต้องบอกว่าแบตเตอรี่รถยนต์ใช้ทำอะไรบ้าง

แบตเตอรี่รถยนต์ เรียกว่าเป็นหัวใจหลักสำคัญของรถยนต์เลยทีเดียว รถยนต์เป็นพาหนะที่อำนวยความสะดวกสบายแก่มนุษย์ไม่ว่าจะเดินทางไปไหนไกลหรือใกล้แค่หยิบมือ เราก็ใช้รถยนต์เป็นพาหนะในการเดินทางสัญจรไปมา ทั้งนี้ในการที่เราใช้รถยนต์เดินทางไปมา ทำให้รถเกิดความเสื่อมสภาพได้ตามอายุการใช้งาน ยามกำลังที่ใช้ รวมไปถึงแบตเตอรี่รถยนต์ ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก  หากว่าไม่มีแบตเตอรี่แล้วละก็ รถยนต์คงไม่สามารถเดินเครื่องได้ จึงถือเป็นสิ่งสำคัญที่เราจะต้องมั่นตรวจเช็ค ดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ แต่หากมีการละเลยหน้าที่ ก็อาจจะทำให้เครื่องยนต์เราสียดายกันเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นวันนี้เรามีสาระดี ๆ เกี่ยวกับ แบตเตอรี่รถยนต์ มาให้ดูกันว่ามีไรบ้างกันบ้าง ตามไปดูกันเลย

 


 

การดูแลแบตเตอรี่รถยนต์

1. ตรวจสอบสภาพภายนอกของตัวแบตเตอรี่

เราควนหมั่นเช็คตรวจสอบแบตเตอรี่รถยนต์อยู่สม่ำเสมอ เพื่อให้การใช้งานนั่นมีประสิทธิภาพ หากตรวจสอบแล้วแบตเตอรี่ มีรอยแตกร้าว บวมหรือเสียรูป เป็นต้น ก็ควรเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ หากยังฝืนทนใช้งานต่อไปอาจจะทำให้รถเกิดผลเสียกับรถได้อย่างมากเลย

 

2. ควรใช้ฉนวนกันความร้อนหุ้มแบตเตอรี่

การที่ทำงานภายในอากาศร้อนหรือหนาวจัด อาจจะทำให้สูญเสียสิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้ามากกว่าปกติ เนื่องจากแบตเตอรรี่รถยนทำงานหนักขึ้น และเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้แบตเตอรี่สิ้นเปลืองจึงควนหุ้มฉนวนกันความร้อน

 

3. ควรสตาร์ทเครื่องยนต์ไว้สม่ำเสมอ

ถ้าเราไม่ค่อยได้ใช้รถยนต์ในการเดินทางหรือไม่ค่อยเดินเครื่องรถยนต์ อาจจะทำให้สภาพของแบตเตอรี่เสื่อมไวมากยิ่งขึ้น เพราะการที่เราไม่ใช้งานแบตเตอรี่ก็จะเสื่อม ดังนั้นหากต้องการจะถนอมแบตเตอรี่ควรสตาร์ทรถยนต์ไว้สัก 10-15นาที เมื่อแบตเตอรี่ถูกชาร์จก็ทำให้แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานมากขึ้น

 

4. ใช้พลังงานไฟฟ้าเมื่อเดินเครื่องยนต์เท่านั้น

นับว่าเป็นข้อแนะนำที่ดีในการดูแลแบตเตอรี่คือควรจะใช้พลังงานไฟฟ้าเมื่อสตาร์ทรถเท่านั้น เช่น เปิดวิทยุ แอร์ เป็นต้น หากไม่ใช้ก็ควรปิดจะทำให้ช่วยลดการสูญเสียพลังงาน

 

5. ทำความสะอาดขั้วแบตเตอรี่

หากขั้วแบตมีสิ่งสกปรก หรือคราบขี้เกลือ ให้ใช้น้ำอุ่นหรือน้ำร้อนเทราดลงไปที่ขั้วแบตแล้วใช้แปรงสีฟันขัดจนสะอาดจากนั่นเช็คให้แห้งแล้วทาจาระบีบาง ๆ ที่ขั้วแบต

 

6. ตรวจเช็คน้ำกลั่นให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม

นั่นคือการตรวจเช็คน้ำกลั่นอยู่เสมอ ไม่ให้แห้ง ถ้าแบตเตอรี่ต้องเติมน้ำกลั่นควรเติมให้อยุ่ในระดับที่พอดี อย่าให้แห้งหรือไม่ควรเติมจนสูงมากเกินไปเพราะอาจจะมีเกลือติดขั่วได้ และห้ามใช้น้ำกลั่นที่มีสารเคมีเด็ดขาด!

 

7. ตรวจวัดกระแสไฟอยู่สม่ำเสมอ

ตรวจวัดระดับไฟแบตเตอรี่อยุ่สม่ำเสมอเพื่อเช็คดูว่าแบตเตอรี่มีปัญหาหรือไม่มีปัญหาในการเก็บประจุไฟหรือเปล่า

 

8. ตรวจเช็คระบบชาร์จไฟ

ตรวจดูว่าไฟสูงหรือต่ำ  หากไฟต่ำอาจจะไม่มีกำลังไฟในการใช้สตาร์ทรถถ้าสูงเกินไปอาจจะทำให้น้ำกลั่นเดือดและระเหยเร็ว

 

9. เช็คตาแมวแบตเตอรี่

สำหรับรถยนต์ที่ใช้แบตเตอรี่แห้ง สามารถเช็คได้จากการดูตาแมวถ้า เป็นสีน้ำเงิน แสดงว่า เป็นปกติหรือถ้าเป็นสีส้มหรือแดงแสดงว่าแบตเตอรี่กำลังมีปัญหา อาจจะต้องชาจไฟหรือเติมน้ำกลั่น หากตาแมวเป็นสีขาวแสดงว่าแบตเตอรี่นั่นเสื่อมสภาพหรือแบตหมด


รถสไตล์ OFF ROAD

มาทำความรู้จักกับการแต่งรูป รถยนต์สไตล์ OFF ROAD กันให้มากกว่านี้กัน เป็นการตกแต่งรถยนต์ ที่ดุดัน ที่ชอบลุยต้องชอบ และจะแต่งกันแน่นอน ซึ่ง OFF ROAD หมายความว่า ไม่สามารถใช้ถนนสาธารณะ แน่นอนว่า ต้องใช้ใน สภาพการลุย ป่า ลุยเขา เท่านั้น รถสไตล์ออฟโรด มักจะนิยมใช้แทบ ต่างประเทศส่วนใหญ่ เป็นประเภทที่ไม่สามารถใช้บนท้องถนนปกติได้ รถสไตล์นี้จัดทำมาเฉพาะด้านของมันเท่านั้น

 

ออฟโรด หรือ OFF ORAD  คืออะไร

เป็นรถสไตล์ที่ดุดัน เป็นการกิจกรรมที่มีการขับรถ บุกป่า บุกเขา โดยใช้ระบบการ ขับเคลื่อนด้วย4ล้อ หรือ 4WD ที่มีความลุยทางที่ลำบาก มากกว่าการใช้งานทางปกติ มีความประสงค์ ท่องเที่ยวลุยป่า หรือเป็นการแข่งขันก็ได้ และยังสามารถบรรทุกสิ่งของ ได้เยอะพอสมควร รถสไตล์ OFF ROAD สามารถลุย พวกน้ำท่วมได้สบายอีกด้วย และการบำรุงรักษา จะค่อนข้างแพงขึ้นกว่าปกติ

 

ไม่ได้จำกัดอยู่แค่สถาปัตยกรรมถนนที่มีโครงสร้างเท่านั้น สำหรับการเดินทาง ยานพาหนะเหล่านี้เดินทางในที่โล่ง ภูมิประเทศ มัก  จะขรุขระสำหรับยานพาหนะดังกล่าว ตัวรถได้รับการออกแบบมาเพื่อไม่ให้ล้มเมื่อเจอภูมิประเทศที่ขรุขระ ซึ่งไม่เหมือนกับยานพาหนะบนถนน ที่ออกแบบมาเพื่อเดินทาง บนถนนที่สร้างมาอย่างดีและให้ความสะดวกสบายสูงสุดแก่ผู้ขับขี่ แผนที่สำหรับการนำทาง ของยานพาหนะเหล่านี้อาจ ได้รับจากภาพถ่ายดาวเทียม หุ่นยนต์ทางอากาศที่บินอยู่รอบ ๆ พื้นที่นั้น ข้อมูลประวัติศาสตร์จากหุ่นยนต์บินได้ในพื้นที่นั้น กล้องบนเครื่องบิน หรือหลายๆ อย่างรวมกัน แผนที่ไม่ใช่ข้อกำหนดง่ายๆ ของพื้นที่ที่มีแนวโน้มว่าจะมีสิ่งกีดขวางและปราศจากสิ่งกีดขวาง แต่ระบุภูมิประเทศที่แตกต่างกัน ซึ่งสามารถนำทางได้โดยใช้ต้นทุน และความเสี่ยงที่แตกต่างกัน

 

การออกเดินทางกับรถสไตล์ OFF ROAD แต่ละครั้ง จะต้องเตรียมคสามพร้อมของคน ที่ควรพักผ่อนให้เพียงพอ และดูแลสุขภาพที่ดี ให้ดีตลอดเวลา เพื่อเป็นการป้องกัน ตัวเองให้มากที่สุด และดูรถยนต์ของคุณให้ดี ให้อะไหล่ทุกอย่างดูแลสมบูรณ์ต่อเนื่อง หากทางเดินอุปกรณ์ หรือไปพักผ่อนกลางธรรมชาติ ต้องเตรียมอะไรบ้าง วันนี้เรามาดูกัน

 

รถยนต์ หรือ ยานพาหนะ เป็นสิ่งสำคัญหลัก ที่ต้องตรวจเช็ค ความพร้อมเป็นลำดับแรกๆ เลยก็ว่าได้ ต้องหมั่นใส่ต้องรถยนต์เป็นพิเศษ มากที่สุดเลยก็ว่าได้ และเตรียมน้ำมันให้เพียงพอต่อการเดินทางอีกด้วย         

 

บุคคล เป็นการเตรียมตัวให้พร้อม ก่อนที่จะมีการออกเดินทาง เตรียมสุขภาพทางใจ สุขภาพทางร่างกย ให้พร้อมที่สุด ที่จะทำได้ และในขณะขับขี่ ไม่มีความระแวง อยู่ในความระวังของตนเอง   

 

อาหาร อุปกรณ์ เครื่องดื่ม และรวมถึงของใช้ ควรเลือกซื้ออาหารประเภท ที่เก็บได้นาน และไม่ควรเตรียมอาหารสด มากนัก เพราะอาจจะทำให้เกิด ความเสียหายได้ เตรียมอาหารประเภท แห้ง หรืออาจจะมี อาหารสด ไปด้วย เพื่อเป็นตัวเลือก ในการกิน จะได้ไม่ต้องเบื่อ เตรียมภาชนะ ที่จะทำ เช่น หม้อ กระทะ และที่สำคัญที่สุดคือ เตา นั้นเอง และเชื้อเพลิง และน้ำเล่า สะอาด เพื่อสุขอนามัยที่ดี  และยาสามัญประจำ ที่ติดรถ

 

อุปกรณ์การนอน  จำพวก เต้นท์ หรือ ที่พักที่มีรับรอง หมอน ผ้าห่ม ผ้ารองปูนอน เสื่อ เปล ก่อนออกเดินทาง ควร ฟ้า ฝน อากาศ ให้แน่ชัดก่อน ว่าจะเหมาะกับสภาพอากาศ แบบนั้น

 

อะไหล่รถยนต์  เพราะเราไม่คาดคิดเกิดขึ้น อาจจะขับๆ แล้วยางระเบิด ต้องเปลี่ยนทันที หรืออาจจะ สายพาน เพราะต้องซ่อมทันที เพราะต้องการเดินทาง อย่างต่อเนื่อง ใดใด คือต้องเตรียมตัวรถยนต์ให้พร้อมเสมอ และอะไหล่สำรองต้องให้พร้อมด้วย

 

อุปกรณ์การสื่อสาร โทรศัพท์มือถือ ควรชาร์จแบตเตอรี่มือถือ ให้เพียงพอต่อการใช้งาน เป็นสิ่งจำเป็นที่สุด ในการสื่อสาร หากเกิดอุบัติเหตุอะไร ได้แจ้งทันที และอุปกรณ์ จำพวกวิทยุสื่อสาร หากไปตั้ง ที่พักกลางป่า กลางเขา      

 

เทคนิคในการขับรถสไตล์ OFF ROAD ต้องงมีความชำนาญสูงในการขับรถสไตล์นี้ เพราะเครื่องยนต์ มีแรงดันที่สูง เพื่อเป็นการเกาะยึด รถยนต์จะมีขนาดใหญ่มาก ควรเตรียมตัวให้พร้อม ก่อนจะขับขี่รถยนต์ และวางแผนการขับขี่ ให้มากขึ้น และการเติมน้ำมันให้เพียงพอ  ต้องรู้ระดับการเร่ง หรือระดับของพื้นดิน ที่ขับไป เพราะมันไม่มีพื้นที่ไม่เท่ากัน บ้างก็อาจจะลุยน้ำ หรือสิ่งกีดขวาง ที่มีต้องไปในจดหมายนั้น แรงดันของลมยาง ต้องพร้อม ใส่แรงดันลมให้ยาง พอเหมาะที่สุด เพราะแบบยาง OFF ROAD จะมีดอกที่ใหญ่ เพื่อเป็นการยึดเกาะ และช่วยหมอบความนุ่มนวนลให้มากขึ้นอีกด้วย  การขับรถให้ระมัดระวังมาขึ้นมาก อาจจะเคลื่อนตัวออกมา อย่างช้า ด้วยเกียร์ต่ำ หรือผู้ขับขี่ สามารถใช้เป็นระบบ 4 x 4 ได้อีกด้วยก็ยังได้ เพื่อเป็นการเพิ่มแรงดันได้ดีอีกด้วย  ง่ายๆคือ.                              

  • คำนึงถึงความปลอดภัยในการขับขี่

  • การขับขี่อย่างมีสติ เช่น การเหยียบคันเร่ง การเบรก ฯลฯ เป็นต้น


ล้อแม็กซ์ KMC

รถสไตล์ออฟโรด มักจะถูกออกแบบมาสำหรับ สมรรถนะ ความเร็วสูง ล้อของคุณก็ตอบสนอง ได้หลากหลาย หากคุณกำลังมองหาล้อที่มีน้ำหนักเบา และยังมีความเงางามที่สุด ล้อที่มีการอัพเกรด แบบที่สมบูรณ์ ที่เหมาะสมกับความเร็ว และความแรง ในการขับขี่ แบบสไตล์ออฟโรด ที่เข้มข้นและที่มีการใช้งาน แบบอย่างกว้างขวาง สินค้าเป็นแม็กซ์ทนทาน และโคตรแข็งแรง 

 

          KMC Wheels เป็นนิยามใหม่ ของประสิทธิภาพทั้งใน และนอกแอสฟัลต์ด้วยนวัตกรรม และสไตล์ KMC ก่อตั้งขึ้นในปี 1982 ในฐานะผู้ผลิต ล้อแม็กซ์ KMC เติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยการพัฒนาสายผลิตภัณฑ์ ที่ดึงดูดความสนใจ ของนักดนตรี นักแสดง นักกีฬา X Game และ คนดังคนอื่นๆ KMC นำเสนอกลุ่มเป็น  "Famous Rides" ของแบรนด์ และคำนึงถึงสไตล์ที่ชาญฉลาด ของพวกเขา

 

          เมื่อพวกเขาเปิดตัวการออกแบบใหม่ KMC สร้างล้ออลูมิเนียมชิ้นเดียว และ ล้อโครเมี่ยม สำหรับรถยนต์ และรถบรรทุกที่ไม่เพียงแต่ ดูแข็งแกร่งบนท้องถนน แต่ยังรับประกันโครงสร้างตลอดอายุการใช้งาน อีกด้วย  มีไว้สำหรับผู้ที่ทำลายกำแพง  และเปลี่ยนเกมที่ท้าทายความคิดแบบเดิม ในกีฬามอเตอร์สปอร์ต  และใช้เครื่องจักรเพื่อดึงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ออกไป คือ นิยามใหม่ของประสิทธิภาพ ทั้งในและนอกแอสฟัลต์ 

 

          ด้วยนวัตกรรมและสไตล์อย่างไม่ลดละ KMC มีไว้สำหรับผู้ที่ทำลายกำแพง และเปลี่ยนเกมที่ท้าทายความคิดแบบเดิมๆ ในการแข่งรถ และใช้เครื่องจักรเพื่อดึงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ออกไป คือ นิยามใหม่ของประสิทธิภาพทั้งใน  และนอกแอสฟัลต์ ด้วยนวัตกรรม และสไตล์อย่างไม่ลดละ KMC มีไว้สำหรับผู้ที่ทำลายกำแพง  และเปลี่ยนเกมที่ท้าทายความคิดแบบเดิมๆ ในการแข่งรถและใช้เครื่องจักร เพื่อดึงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ออกไป

 

          ว่าด้วยเรื่องการแต่งรถ ด้วย แม็กซ์ KMC เป็นการตกแต่งด้วยแนวรถที่ยกสูง หรือ เรียกง่าย ๆ ว่า สไตล์ออฟโรด ที่นิยมแต่งกันแถวอเมริกา หรือแถวทะเลทราย ค่อนข้างเยอะ เป็นการตกแต่งแบบ ลุยน้ำ ลุยป่า สามารถบรรทุกสิ่งของได้เยอะมาก สไลต์ออฟโรด สามารถตกแต่งได้หลากหลายแบบ ขึ้นอยู่กับคุณว่าจะแต่งเป็นแนวไหน  สไตล์รถออฟโรด เป็นที่ตอบสนองในท้องตลาดในปัจจุบัน


น้ำมันเครื่องลดผิดปกติ เสี่ยงทำรถพังได้ และควรเปลี่ยนตอนไหนดี ?

ทุกวันนี้การดูแลรักษารถยนต์คู่ใจของคุณ ค่อนข้างดูแลไม่ยาก เพราะมี ศูนย์บริการ ที่คอยบริการดูแลรักษารถยนต์ของคุณ บางครั้งแม้คุณจะดูแลดีแค่ไหน มันจะมีโอกาสเสี่ยงที่รถของคุณที่จะมีปัญหา โดยเฉพาะตัวน้ำมันเครื่อง ที่เราไม่ค่อนข้างจะรู้ เพราะน้ำมันเครื่องจะลดลงตามการใช้งาน หากเกิดลดแบบรวดเร็วแบบนี้ค่อนข้างอันตรายมาก เพราะถ้าหากไม่มีน้ำมันหล่อลื่นมาช่วยจะทำให้เครื่องคุณพังแน่นอน

 

สำหรับปัญหา น้ำมันเครื่อง หายอาจเกิดขึ้นได้เพราะสาเหตุเหล่านี้

     1. เครื่องยนต์สึกหรอ ทำให้การเผาภายในเครื่องยนต์ หรือกระบอกสูบทำงานไม่เต็มที่ หากมีปัญหาต้องรีบเปลี่ยนทันที เพราะจะทำให้เครื่องยนต์เสียหาย

     2. เครื่องยนต์มีอาการรั่วซึม สังเกตดูจุดที่จอดรถที่เป็นประจำว่ามีอะไรหยดลงพื้นหรือไม่ หากมีหยดออกมาก ให้หาจุดที่หยดลงมาของคราบนั้น เนื่องจากสิ่งพวกนี้มีสภาพเสื่อมสภาพได้ ในการเปิดใช้งาน หากเกิดการรั่ว ให้พาเข้าอู่ซ่อมรถ โดยให้เร็วที่สุด

     3. ก้านวาล์วสึกหรอ หมดอายุในการใช้งาน ทำให้การทำงานของเครื่อง ทำงานไม่เต็มที่ แนะนำให้เปลี่ยนอะไหล่ใหม่

     4. ร่องนำวาล์วสึกหรอ หมดอายุการใช้งาน อาการคล้ายๆกับ ก้านวาล์ว เพราะน้ำมันเครื่องไหลผ่าน หากมีปัญหา แนะนำให้เปลี่ยนอะไหล่เหมือนกัน

     5. เครื่องยนต์มีความร้อนสูงผิดปกติ มักจะไม่เกิดขึ้นกับรถรุ่นใหม่ แต่อาจจะมีโอกาสจะเกิดขึ้น เพราะหากคุณขับรถทางไกลบ่อย หรือนานเกินไป ให้ตรวจเช็กอีกว่า น้ำมันเครื่องหายไปมากหรือน้อยกว่าปกติ ถ้าหากลดมากกว่าปกติ แนะนำให้เข้าศูนย์ซ่อมทันที ไม่เช่นนั้น มันอาจจะลามไปส่วนอื่นๆ ของเครื่องยนต์

 

น้ำมันเครื่องยนต์ ควรเปลี่ยนตอนไหนดี?

รถยนต์ทีดี ควรมักดูแลใส่ใจตลอดเวลา และรักษารถอย่างสม่ำเสมออยู่ตลอด คุณเองคงไม่ปล่อยผ่าน การดูแลรถยนต์ของคุณเองหรอก และหมั่นตรวจอย่างตลอด ว่ามีอะไรผิดปกติตรงไหน หรือไม่? เพราะอาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อรถของคุณ และรวมถึงคุณอีกด้วยก็ได้ 

 

น้ำมันเครื่องยนต์ คือ หัวใจเครื่องยนต์ ที่เป็นกลไกล การทำงาน ขับเคลื่อนด้วยการเลี้ยงด้วยน้ำมันล่อลื่น หรือ สารหล่อลื่น ที่คั่นอยู่ระหว่างผิวของชิ้นส่วนอะไหล่ ในตัวเครื่องยนต์  ทำหน้าที่ป้องกัน หรือเป็นฟิล์มเคลือบชิ้นส่วนอะไหล่ที่เป็นตัวโลหะ ช่วยบรรเทาพวกอะไหล่ให้ลดการเสียดสี หรือการสึกหรอเร็วเกินไป

 

  • น้ำมันเครื่องธรรมดา เปลี่ยนทุก 6 เดือน

  • น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ เปลี่ยนทุก 6-9 เดือน

  • น้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ เปลี่ยนทุก 1 ปี

 

ควร เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ตามระยะเวลาที่กำหนดไว้แล้ว อยู่ตลอด ถ้าหากไม่เปลี่ยนนานๆ อาจจะทำให้เครื่องพังได้ อย่างไรก็ตาม หมั่นดูแลเครื่องยนต์ อย่างสม่ำเสมอ มันอาจจะปลอดภัยมากขึ้นสำหรับตัวคุณ และคนรอบข้าง ที่เดินทางไปพร้อมกับคุณ และรถจะอยู่ด้วยคุณนานอีกด้วย

 

ใจความสำคัญของ น้ำมันเครื่อง  ก็ยังสำคัญเสมอ จะหากไม่ได้ เพราะอาจจะทำให้เครื่องยนต์ของคุณพังได้แน่นอน หากเราป้องกันไว้ก่อน ตั้งแต่ต้น แน่นอนว่าเครื่องยนต์ของคุณไม่พังแน่นอน ควรบำรุงรักษาอยู่ต่อเนื่อง เพื่อเป็นการถนอมเครื่องยนต์ของคุณให้อยู่อีกยาวไกล


ตรวจเช็คสภาพรถ

คิดว่าใครหลาย ๆ คนคงเกิดปัญหาระหว่างการขับขี่ระยะทางไกล หรือท่านอาจจะทำงานที่บ้านเป็นเวลานานจนทำให้รถของท่านเกิดปัญหา “ โดยไม่รู้ตัว ! ” ซึ่งอาจจะทำให้เกิดอันตรายที่ไม่อาจจะคาดคิดได้ ดังนั่นเราจึงควร ตรวจเช็คสภาพ  เครื่องยนต์ทุกครั้งก่อนออกเดินทางเพื่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่และผู้ใช้รถใช้ถนนทุกท่าน การตรวจเช็คสภาพรถยนต์ของท่านเองได้ง่าย ๆ สามารถทำเองได้ที่บ้านหรืออาจจะเข้าร้านบริการทาง  ด้านยานยนต์  ต่างมากมายบริเวณใกล้บ้านท่าน สะดวกง่าย ๆ มีดังนี้

 

เช็คแบตเตอรี่                                                                                                                                                                                                                          

         แบตเตอรี่ เป็นองค์ประกอบสำคัญที่สุดในการสต๊าทรถยนต์ ควนหมั่นตรวจสุขภาพแบตเตอรี่ ว่าแบตเตอรี่ของท่านอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์หรือไม่ และมั่นทำความสะอาดคราบต่าง ๆ ที่ขั่วแบตเตอรี่ เช็คระดับน้ำกลั่น เช็คความแน่นของแบตเตอรี่ และสายฉนวนหุ้มสาย

 

ล้อและยางรถยนต์                                                                                                                                                                                                                

         เป็นจุดที่สำคัญมาก เพราะยางเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ ดังนั่นยางที่ดีต้องอยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานอยู่ตลอด ไม่รั่ว ไม่ซึม ไม่แตกลาย มีดอกยาง และเติมลมตามคู่มือประจำรถ ส่วนล้อควรอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ แข็งแรงน็อตทุกตัวขันแน่น

 

ช่วงล่าง                                                                                                                                                                                                                          

         ตรวจเช็คโดยการทดลองขับทางตรง โดยสังเกตจากพวกมาลัยว่าตรงหรือไม่  หากพวกมาลัยไม่ตรงก็ต้องไป ตั้งศูนย์ ใหม่ และหากขับทางขรุขระแล้วมีเสียงดังกุกกัก ก็ควรนำไปให้ช่างรีบทำการซ่อมโดยเร็วเช่นกัน

 

น้ำมันเบรกและระบบเบรก

         หลายคนคงอาจจะคิดว่าถ้าน้ำมันเบรก หมดหรือหาย ควนรีบเติมน้ำมันเบรก แต่ความจริงแล้วน้ำมันเบรกเป็นระบบปิด คือน้ำมันเบรกจะอยู่ภายในระบบเบรก จะไม่มีการระเหยเหมือนน้ำมันรถที่เราเติมกัน แน่นอนว่าถ้าผ้าเบรกไม่ซึกหรือรั่ว น้ำมันจะไม่หายแน่นอน และถ้าหากน้ำมันเบรกท่านหายอย่าพึ่งเติมจนกว่าจะหาสาเหตุเจอ

 

ระบบไฟ

      ไฟหน้า ไฟท้าย ไฟตัดหมอก ไฟเลี้ยว และไฟฉุกเฉิน ต้องเช็คและใช้งานได้ทุกจุด แสงจะต้องชัดและเพียงพอไม่ขุ่นมัว ระบบไฟเป็นระบบที่สำคัญมากในการเดินทางในเวลากลางคืนหรือเวลาส่งสัญญาน

 

น้ำมันเครื่อง

     เป็นระบบที่ช่วยให้ระบบต่าง ๆ ขับเคลื่อนได้เต็มที่และมีประสิทธิภาพ น้ำมันเครื่อง จะต้องอยู่ในระบบที่เหมาะสมเราสามารถเช็คได้จากก้านวัดน้ำมันเครื่องและขณะเดินทางควนมีน้ำมันเครื่องสำรองไว้ยามกรณีฉุกเฉิน

 

หม้อน้ำ ท่อยาง ระบบหล่อเย็น

      ระบบระบายความร้อนเป็นระบบที่สำคัญเพราะความร้อนที่สะสมเวลาเครื่องยนต์ทำงานบวกกับความร้อนด้านนอกจากสภาพอากาศหากระบบระบายไม่ดีอาจจะทำให้เครื่องยนต์น็อคได้ ดังนั้นเราควร เช็คระดับน้ำหล่อเย็น เช็คพัดลม หม้อน้ำ ถ้าหากพบว่ามีการรั่วซึมควรรีบแก้ไขโดยด่วน

 

ชุดเครื่องมือประจำรถ

       อาทิ เช่น ล้อ ยาง ที่เป็นอะไหล่สำรอง แม่แรง เครื่องมือต่าง ๆ ช่วยในการถอด และซ่อมรถในกรณีฉุกเฉิน ที่เติมลม สายพ่วงแบต  ไฟฉาย ไฟหน้า ไฟท้าย ไฟตัดหมอก ไฟเลี้ยว และไฟฉุกเฉิน  สายลากรถ ทั้งหมดนี้ควรมีติดประจำรถไว้


ล้อแม็กซ์

หลายท่านที่เลือกซื้อ ล้อแม็กซ์ อาจจะเพราะ มีราคาแพง มีลวดลายสวย มีสีสวยสด มีลักษณะเด่นต่าง ๆ โดยควรคำนึงถึงที่ต่างกันของล้อเดิม และ ล้อแม็กซ์ ในมุมมองความชอบของท่านที่อาจจะคิดว่าเหมาะสมกับรถของท่านแต่รู้หรือไม่ว่า  ล้อแม็กซ์แต่ละชนิดก็มีความแตกต่างในการใช้งานคล้ายคลึงกับชนิดของยางว่าล้อแม็กซ์ชนิดไหนใช้สำหรับกรณีแบบไหน อาทิ เช่น  ใช้สำหรับการแบกรับน้ำหนักได้เยอะและรับน้ำหนักได้น้อย  การเลือกซื้อแม็กซ์ที่ดีต้องมีการควบคู่กับยางแต่ละชนิดอีกด้วย

 

วิธีการเลือกแม็กซ์ให้เข้ากับสีและตัวรถ

 

          ควรเลือกให้เหมาะสมมากที่สุด ต้องมองถึงเทคนิคเป็นอย่างแรก การเลือกล้อแม็กซ์ให้เข้ากับรถยนต์ต้องทราบถึงขนาดเดิมของล้อด้วยว่าขนาดเท่าไหร่ เพราะขนาดล้อของแต่ละคันจะมีไม่เท่ากัน และต้องวัดความกว้างของขอบล้อ เลือกให้สวยงาม และแข็งแรงทนทานตัวเลือกนี้ส่วนใหญ่มักจะเป็นสิ่งที่เราต้องการมากที่สุด ในการมาเปลี่ยนแม็กซ์แล้วโดยต้องเลือกให้เข้ากับตัวรถและสีของรถ แต่ขึ้นอยู่กับความชอบแม็กซ์ในลักษณะใด ลวดลายอย่างไร

 

  1. ดูขนาดล้อเดิม  ส่วนใหญ่ขนาดล้อเดิมที่ติดมากับรถ มีขนาด 14นิ้ว, 15นิ้ว, 16นิ้ว, 17นิ้ว และ 18นิ้ว

  2. เพิ่มขนาดล้อ  แนะนำให้เพิ่ม +2นิ้ว, +3นิ้ว, +4นิ้ว

  3. ขนาดขอบล้อ  เลือกขอบล้อมีความกว้างตั้งแต่ 5 นิ้ว, 5.5 นิ้ว, 6 นิ้ว, 6.5 นิ้ว+9 นิ้ว สำหรับรถเก๋ง แนะนำให้เลือกใช้ขอบล้อกว้าง 6 – 7.5 นิ้ว

  4. รู PCD เลือกจำนวนรูล้อ PCD 4, 5 หรือ 6 รู

(*** ค่า PCD และค่า OFFSET ควรปรึกษาช่างที่ร้าน เพราะเป็นค่าเทคนิคเฉพาะ)

 

ประเภทแม็กซ์ แบ่งออกได้ดังต่อไปนี้

 

แม็กซ์ประเภทจาน  มักเหมาะกับรถที่ใช้สำหรับ บรรทุกของหนักอยู่บ่อยๆ

แม็กซ์ประเภทก้านใหญ่ เป็นแม็กซ์ที่สวยงามแบบจาน และยังรับน้ำหนักได้ดี ขึ้นอยู่กับว่าจะเหมาะสมกับรถขนาดใหญ่หรือรถแบบซีดาน

แม็กซ์ประเภทก้านถี่  เหมาะกับรถที่ใช้งานบนทางเรียบ เพราะมีการออกแบบที่ก้านโปร่ง เรียวเล็ก ทำให้ไม่เหมาะสมมาใช้ในการบรรทุกของต่างๆและพื้นที่เป็นหลุดต่างๆ

แม็กซ์ประเภทตาข่าย  เป็นแบบก้านเล็กๆ แต่ถูกออกแบบให้สร้างเป็นแบบตาข่ายเพิ่มขนาดทนทานแข็งแรงรับน้ำหนักได้ดีกว่าก้านถี่และอาจจะทำความสะอาดยากกว่า

 

หลายท่านคงสงสัยว่า เปลี่ยนล้อแม็กซ์ ดียังไง ?

             เราสรุปได้ว่าหากต้องการที่จะเปลี่ยนล้อรถยนต์ล้อแม็กซ์เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าของรรถยนต์ทุกคน ไม่ว่าจะด้วยเรื่องความสวยงาม หรือสมรรถนะในการขับขี่รถของท่าน ล้อกระทะเป็นตัวเลือกที่ดีเช่นกัน และสำหรับท่านใดที่มีแผนว่ากำลังจะเปลี่ยนล้อแม็ก ต้องพิจรณาทั้งในเรื่องของ ราคา  สี หรือลวดลายต่างๆบนล้อแม็กซ์นั้นว่าเหมาะสมกับรถหรือไม่ ท่านยังคงต้องศึกษาข้อมูลต่างๆหรือสอบถามผู้จำหน่ายผู้เชี่ยวชาญที่เชื่อถือได้


น้ำมันเครื่องยนต์

น้ำมันเครื่อง เป็นหัวใจของกลไกของเครื่องยนต์ เป็นสารหล่อลื่นที่นำไปเลี้ยงกลไกการทำงานของเครื่องยนต์ ทำหน้าที่คล้ายกับการเคลือบฟิล์มของโลหะในตัวเครื่องยนต์ เพื่อเป็นการถนอมชิ้นส่วนของอะไหล่ ทำให้ไม่เสียดสี และจะเกิดความสึกหรอของชิ้นส่วนช้าลง

 

น้ำมันเครื่องยนต์ทั้งหมด 3 ประเภทหลัก ๆ ด้วยกัน

          น้ำมันเครื่องยนต์ธรรมดา หรือ อีกชื่อหนึ่งเรียกว่า SYNTHETIC เป็นตัวน้ำมันจากปิโตรเลียมที่กลั่นออกมา น้ำมันเครื่องแบบธรรมดาจะมีอายุการใช้งานที่สั้นกว่า มีการใช้งานได้ประมาณ 3,000 – 5,000 กิโลเมตร มีราคาที่ถูกที่สุด

 

          น้ำมันเครื่องยนต์กึ่งสังเคราะห์ หรือ อีกชื่อหนึ่งเรียกว่า SEMI SYNTHETIC เป็นการผสมของตัวน้ำมันสังเคราะห์ที่มีน้ำมันของธรรมชาติ จะมีอัตรากำหนดไว้ว่าแต่ละยี่ห้อควรผสมเท่าไหร่ ซึ่งจะไม่เหมือนกัน ถึงแม้อัตราการผสม 80 ต่อ 20 ก็ยังเป็นน้ำมันเครื่องยนต์กึ่งผสมอยู่ดี จะมีการใช้งานประมาณ 5,000 – 10,000  กิโลเมตร

 

          น้ำมันเครื่องยนต์สังเคราะห์ หรือ อีกชื่อหนึ่งเรียกว่า FULLY SYNTHETIC  100% น้ำมันเครื่องที่มีความพิถีพิถันมากที่สุด มีประสิทธิภาพที่ดีเยี่ยมมากกว่าทุกรุ่น และยังมีความหล่อลื่นได้ดีมาก ทำให้ไปเลี้ยงชิ้นส่วนอะไหล่ได้ดี และอะไหล่จะมีความชำรุดน้อยลงมาก และราคายังค่อนข้างสูงมาก มักจะเหมาะกับรถยนต์ที่ราคาสูง

 

คุณสมบัติของน้ำมันเครื่องยนต์ที่ดี

มาพร้อมกับความหนืดของน้ำมันเครื่อง น้ำมันเครื่องยนต์จะใส เพื่อเป็นการหล่อลื่นชิ้นส่วนของอะไหล่ เพื่อเป็นการบรรเทาอาการสึกหรอ และยังช่วยทำความสะอาดของตัวเครื่องยนต์ ถ้าหากน้ำมันเครื่องคุณเป็นสีดำ แสดงว่าการทำงานของตัวน้ำมันเครื่องจะทำงานได้ดีเยี่ยมอีกด้วย

 

 

ค่าน้ำมันเครื่องยนต์ที่วัดเป็นค่า องศาเซสเซียส

 

  • W สามารถคงความข้นใสไว้ได้ต่ำกว่า -30 องศาเซสเซียส โดยไม่เป็นไข

  • 5W สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง -30 องศาเซสเซียส โดยไม่เป็นไข

  • 10W สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง -20 องศาเซสเซียส โดยไม่เป็นไข

  • 15W สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง -10 องศาเซสเซียส โดยไม่เป็นไข

  • 20W สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง 0 องศาเซสเซียล โดยไม่เป็นไข

 

          ค่าการวัดองศาเซสเซียสของตัว น้ำมันเครื่องยนต์  ไม่สามารถบ่งบอกได้ว่าน้ำมันเครื่องนั้น เป็นตัวที่เหมาะสมกับรถยนต์ของคุณหรือไม่ แนะนำให้ดูว่าน้ำมันเครื่องตัวนั้นเหมาะกับรถยนต์มากแค่ไหน ยิ่งน้ำมันเครื่องดีเท่าไหร่ก็จะทำให้เครื่องยนต์คุณดีมากขึ้นเท่านั้น

 

CASTROL  MAGNATEC

          น้ำมันเครื่อง CASTROL  MAGNATEC จะมีความป้องกันชิ้นส่วนอะไหล่  การสึกหรอได้ดีกว่า ในเมื่อคุณสตาร์ทเครื่องยนต์ เครื่องยนต์จะทำงาน ตัวโมเลกุลจะทำงาน เคลือบฟิล์มทุกชิ้นส่วนของเครื่องยนต์ ใช้แล้วเครื่องยนต์ของคุณจะรวดแรงขึ้นอีกด้วย

 

BP

          น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ ที่มีคุณภาพที่ดี เพราะผลิตจากการสังเคราะห์พิเศษ ที่ช่วยหล่อลื่นได้ดีไม่แพ้แบรนด์อื่นเช่นกัน และมีความทนทานต่อความร้อนอย่างสูงสุดได้ดีเยี่ยม และยังมีหน้าที่ที่คอยช่วยประหยัดน้ำมันของคุณอีกด้วย


สัญญาณเตือนอันตรายบนหน้าปัดรถ

สัญญาณเตือน  จากหน้าปัดรถยนต์ที่คุณไม่รู้ว่าอันตรายแค่ไหน เพราะว่ามันอาจจะอันตรายต่อรถยนต์และคุณอีกด้วย สัญญาณรถจะแบ่งออก ดังนี้

  • สัญญาณสีเขียว ที่กำลังใช้งานอยู่เตือนสถานะการใช้งานปกติ

  • สัญญาณสีน้ำเงิน กำลังใช้งานไม่ได้ตั้งค่ามาให้

  • สัญญาณสีเหลือง  เตือนให้รีบตรวจสอบหรือสามารถใช้งานได้ แต่ต้องระมัดระวัง

  • สัญญาณสีแดง  ควรตรวจสอบทันที และงดการใช้รถยนต์ หรือการเกิดปัญหาขัดข้องของระบบ หากยังใช้งานรถยนต์ของคุณอยู่ แน่นอนว่าพังแน่

 

          สัญญาณเตือนสีแดง เป็นสัญญาณเตือนที่อันตราย หากไม่สนใจหรือไม่บำรุงอาจจะทำให้เกิดเหตุไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้เสมอ หากสัญญาณสีแดงขึ้นแล้ว ควรให้เข้าอู่ หรือหยุดการใช้งานรถทันที เรามาดูสัญญาณสีแดงหลัก ๆ ที่เป็นอันตรายต่อรถยนต์ของคุณกันเลย

 

เครื่องหมายตกใจ                                                    

          เครื่องหมายเบรกมือ หรือการเตือนของน้ำมันเบรกต่ำนั้นเอง และจะพบเจอได้อีกเมื่อมีการเลี้ยวรถเร็ว ๆ หรือเลี้ยวรถแบบแรง ๆ เครื่องหมายจะแสดงขึ้นมาทันที และจะมีสัญญาณไฟแสดงขึ้นมาเป็นรูปแบบของสามเหลี่ยม และมีเครื่องหมายตกใจอยู่ในนั้น ซึ่งจะมีการกระพริบขึ้นมา การทำงานของสัญญาณนี้ เป็นการเตือนเมื่อรถยนต์เสียการควบคุม และจะหายไปตอนเมื่อรถยนต์จะทรงตัวได้ปกติ

 

ไฟรูปเทอร์โบมิเตอร์แดง                                          

          สัญญาณที่บ่งบอกถึงการทำงานขัดข้องของเครื่องยนต์ ที่มีความร้อนสูง หรือเครื่องยนต์ทำงานบกพร่องนั้นเอง ซึ่งความร้อนที่เกิดขึ้นอาจจะทำให้เครื่องยนต์ที่คุณรักเกิดความเสียหายโดยที่คุณไม่รู้ตัว ซึ่งปัจจุบันนี้ในรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ มักจะไม่มีเครื่องมือการวัดความร้อนมาให้ แต่จะแสดงผลเป็นรูปเทอร์โบมิเตอร์แทนในหน้าปัดรถยนต์ของคุณ

          สัญญาณนี้มักจะเกิดจากความร้อนที่สูงเกินไป หรืออาจจะมีส่วนใดส่วนหนึ่งที่เกิดรั่วซึม หรือหม้อน้ำรั่ว ระบบพัดลมไม่ทำงาน ไม่สามารถระบายความร้อนออกได้ หากขึ้นสัญญาณแบบนี้ ควรงดการใช้รถยนต์ทันที เพราะอาจจะทำให้เครื่องยนต์น็อค และเข้าขั้นวิกฤติได้

 

เครื่องหมายแบตเตอรี่                                                     

          ตลอดการใช้งานของเครื่องยนต์ที่มีการทำงาน สัญญาณนี้จะไม่มีแสดงขึ้นมาแน่นอน แต่ถ้าเปิดการใช้งานรถยนต์ แล้วสัญญาณรูปแบบแบตเตอรี่ขึ้นมา แสดงว่าแบตเตอรี่คุณมีปัญหา แนะนำให้จอด หรือหยุดการใช้งานทันที หรือสามารถเข้าไปศูนย์ได้ทันที เพราะจะทำให้เกิดอันตรายได้ ถ้าหากคุณเปิดแอร์ เปิดวิทยุ แนะนำให้ปิดให้หมด ปิดยันระบบไฟที่ใช้อยู่ แบตเตอรี่คุณอาจจะได้รับความเสียหายเพิ่มขึ้นอีกด้วย

 

เครื่องหมาย ABS

          เป็นสัญญาณเตือนเบรค จะมักแสดงโชว์ขึ้นมาในตอนที่เรากำลังจะบิดกุญแจรถขึ้น และเมื่อรถยนต์ติดแล้ว สัญญาณไฟ ABS จะดับลงเอง หรือบางครั้งหากคุณขับรถเร็ว แล้วเบรคกะทันหัน สัญญาณไฟจะกระพริบบนจอหน้าปัดรถยนต์ทันที สัญญาณ ABS จะขึ้นต่อเมื่อเราเบรคนั้นเอง หากสัญญาณนี้ขึ้นตลอดแน่นอนว่าเบรคของคุณมีปัญหาอาจจะเกิดจากผ้าเบรกหมด หรือน้ำมันเบรกต่ำกว่ามาตรฐาน แนะนำให้พารถเข้าศูนย์ซ่อมโดยด่วน

 

เครื่องหมายกาน้ำมันเครื่อง                                                                                            

          ชาฟท์ละลาย หรืออีกชื่อหนึ่ง แบริง ที่ละลายไหม้จนเครื่องยนต์ทำงานหนัก จนร้อนไม่สามารถทำงานหมุนได้ตามที่ระบบต้องการ เกิดจากอาการรั่วซึม หรืออ่างน้ำมันทะลุ ในน้ำมันเครื่องประเภทดีเซลมักจะเจอตัวที่เรียกว่า ซีลท้าย มักจะเกิดการรั่วไหลจนไดร์จรั่ว โดยทั่วไปจะเจอปัญหาเหล่านี้บ่อย หากการหมุนเวียนไม่ทำงาน สัญญาณกาน้ำมันเครื่องจะทำงานทันที

 

หากสัญญาณเตือนขึ้นแล้ว แนะนำให้งดใช้รถ และห้ามสตาร์ทเครื่องยนต์ เด็ดขาด แนะนำให้ใส่รถลากไป หรือถ้าในเครื่องยนต์ยังมีน้ำมันเครื่องลงเหลืออยู่ แนะนำให้ดู อาจจะเกิดจาก ปั๊มน้ำมันเครื่องเสีย หรือเซนเซอร์น้ำมันเครื่องไม่ทำงานนั้นเอง


เทคนิคง่าย ๆ ขับรถแบบประหยัดน้ำมัน

ปัจจุบันน้ำมันมีราคาที่ค่อนข้างจะสูงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบให้รถที่ใช้เชื้อเพลิงน้ำมันในการขับเคลื่อนเป็นอย่างมาก ถึงแม้ปัจจุบันมีรถยนต์ไฟฟ้า และมอเตอร์ไซต์ไฟฟ้าเข้ามาเป็นทางเลือก แต่มีราคาที่ค่อนข้างสูง และยังไม่มีรุ่นที่หลากหลาย ทำให้บางคนยังไม่ตัดสินใจที่จะใช้รถที่ใช้ระบบไฟฟ้า เลือกที่จะใช้รถที่ขับเคลื่อนด้วยระบบน้ำมันเชื้อเพลิงต่อไป วันนี้เรามีเคล็ดลับขับรถให้ประหยัดน้ำมันมาฝาก

 

ออกตัวรถช้า ๆ                                                                                                                                                

          การที่เราออกตัวรถแบบกระชาก กดคันเร่งแบบเต็มแรง เช่น การออกตัวเมื่อสัญญาณไฟเขียว เป็นการสิ้นเปลืองน้ำมันเป็นอย่างมาก การออกตัวรถแบบกระชากจะต้องใช้พละกำลังเครื่องที่สูง เพราะต้องแบกทั้งน้ำหนักของผู้โดยสารและน้ำหนักของรถ การออกตัวรถแบบกระชากจะทำให้ชิ้นส่วนต่าง ๆ ของรถยนต์เกิดการสึกหรออีกด้วย

 

ใช้ความเร็วให้เหมาะสม                                                                                                                                       

          การขับรถที่ใช้ความเร็วอย่างสม่ำเสมอ และมีความเหมาะสมจะช่วยให้ประหยัดน้ำมัน เพราะหากเรายิ่งใช้ความเร็วที่สูงมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งทำให้รถของเรากินน้ำมันมากขึ้นเท่านั้น ช่วงความเร็วที่เหมาะสม และสามารถประหยัดน้ำมันได้มากจะอยู่ที่ 60-90 กิโลเมตร/ชั่วโมง และหากเรารักษาระยะความเร็วให้มีความสม่ำเสมอจะช่วยให้เราประหยัดน้ำมันมากยิ่งขึ้น

 

เน้นชะลอรถแทนการใช้เบรก                                                                                                                                                

          ทุกครั้งที่เราเหยียบเบรกความเร็วของรถจะลดลง ซึ่งการที่เราจะทำความเร็วกลับไปเท่าเดิมจะทำให้รถมีการใช้พลังงานที่มากขึ้น แต่ถ้าเราใช้วิธีชะลอรถโดยการยกเท้าออกจากคันเร่งอย่างช้า ๆ รถจะชะลอความเร็วอย่างช้า ๆ การที่จะทำความเร็วให้ขึ้นเท่าเดิมจะเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานที่น้อยกว่า

 

ปรับอุณหภูมิแอร์ให้สูงขึ้นกว่าปกติ

          แอร์รถยนต์ถือว่าเป็นสิ่งที่ทำให้สิ้นเปลืองน้ำมัน การที่เปิดแอร์ให้มีอุณหภูมิที่เย็นเกินไปจะทำให้รถเราสิ้นเปลืองน้ำมันมากขึ้น ปรับอุณหภูมิของแอร์ให้มีความเย็นที่พอดีจะช่วยให้รถประหยัดน้ำมันได้

 

ใส่เกียร์ว่างเมื่อรถติดเป็นเวลานาน

          เมื่อเราต้องหยุดรถเป็นเวลานาน ๆ เช่น รถติดไฟแดง การจราจรติดขัด ควรปรับตำแหน่งเกียร์ไปที่เกียร์ว่าง (N) เพราะการใส่เกียร์เดินหน้า (D) ค้างไว้เครื่องยนต์จะทำงานอยู่ตลอด จะทำให้เป็นการสิ้นเปลืองน้ำมัน และจะได้ไม่ต้องเหยียบเบรกให้เมื่อย

 

วางแผนการเดินทาง

          การวางแผนก่อนเดินทางถือว่าเป็นเรื่องดี เพราะนอกจากจะรู้เส้นทางที่จะเดินทางไปแล้ว ยังสามารถเลี่ยงเส้นทางที่มีจราจรติดขัดได้อีกด้วย ช่วยให้เราประหยัดเวลาเดินทาง และยังสามารถช่วยให้ประหยัดน้ำมันได้อีกด้วย

 

เช็กลมยาง

          การ เติมลมยาง ให้เหมาะสมพอดีกับรถจะช่วยให้ประหยัดน้ำมันได้ เพราะหากถ้ารถยนต์มีลมยางที่อ่อนเกินไป จะทำให้รถเกิดแรงเสียดทานมากขึ้น เครื่องยนต์จะทำงานหนักขึ้นกว่าเดิม จะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันโดยที่ไม่จำเป็น ควรหมั่นตรวจเช็ค และเติมลมยางให้ได้มาตราฐานที่กำหน้าทั้งล้อหลัง และล้อหน้า

 

ใช้โหมด Econ หรือ Eco Mode

          รถยนต์บางรุ่นจะมีโหมด Econ โหมดการขับขี่แบบประหยัดพลังงาน โดยจะมีการปรับระบบการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้ลดน้อยลงกว่าปกติ หากขับรถด้วยความเร็วที่สม่ำเสมอจะเห็นได้ว่ารถประหยัดน้ำมันได้อย่างชัดเจน การใช้โหมดนี้จะทำให้อัตราการเร่ง และการออกตัวช้ามากขึ้น

 

อย่าบรรทุกของหนักมากเกินไป

          การที่เราบรรทุกของที่มีน้ำหนักเยอะ จะทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนักมากขึ้นไปด้วย แน่นอนว่าจะทำให้กินน้ำมันมากกว่าเดิม และอาจจะส่งผลให้การทำงานของโช้คอัพด้วยเช่นกัน ไม่ควรบรรทุกของที่มีน้ำหนักมากหากไม่มีความจำเป็นจะช่วยให้ประหยัดน้ำมันได้


เหยียบเบรกแล้วมีเสียงดัง เกิดจากสาเหตุใด ?

การที่เราเหยียบเบรกแล้วมีเสียงดัง เป็นสัญญาณเตือนว่าเบรกมีปัญหาไม่ควรปล่อยผ่าน เสียงเบรกที่ดังเกิดจากสาเหตุอะไร ต้องเช็คจุดไหน สามารถทำให้เกิดอันตรายไหม เรามีคำตอบ

          หากรถยนต์มีเสียงเบรกดังผิดปกติ เมื่อมีการเหยียบเบรกจะได้ยินเสียงที่ไม่เคยเกิดขึ้นในขณะเหยียบเบรกครั้งก่อน ๆ เป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม เพราะเป็นสัญญาณเตือนว่าเบรกกำลังมีปัญหา ระบบเบรกกำลังบกพร่อง เจ้าของรถยนต์ต้องระมัดระวังเพราะเบรกเป็นส่วนสำคัญ ดังนั้น ไม่ควรละเลยเสียงเบรกที่ดังผิดปกติ เพราะถ้าละเลยอาจสร้างความเสียหาย และทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ตลอด เสียงผิดปกติมาจากไหน เสียงผิดปกติอาจจะเกิดจากสาเหตุเหล่านี้

 

ประเภทของเบรกรถยนต์ที่ควรรู้                                                                                                           

          เบรก เป็นส่วนสำคัญของรถยนต์ เบรกมีหน้าที่ที่ต้องชะลอและหยุดรถ  ระบบเบรกแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดรัมเบรก และดิสก์เบรก จะขึ้นอยู่กับรุ่นรถยนต์ บางรุ่นอาจจะใช้เบรกทั้ง 2 ประเภท ขึ้นอยู่กับผู้ผลิตว่ามีจุดประสงค์อย่างไร แต่จุดประสงค์หลักเพื่อลดความเร็ว  หรือทำให้รถยนต์หยุด

 

ดรัมเบรก (Drum Brake)                                                                                                                               

          ดรัมเบรกมีการทำงานคือใช้แรงผลักผ้าเบรกให้ออกไปสัมผัสกับกับตัวดรัมที่อยู่ล้อมรอบ จะทำให้ล้อรถเกิดความช้าลง ภายในจะมีชุดกลไก เช่น ลูกสูบ ก้ามเบรก สปริง เป็นต้น

 

ดิสก์เบรก (Disc Brake)                                                                                                                                                          

          ดิสก์เบรกมีหน้าที่ทำงานใช้แรงผ้าเบรกสัมผัสกับจานเบรกเพื่อที่จะให้รถหยุด ระบบดิสก์เบรกจะเห็นได้ง่าย จะประกอบไปด้วย คาลิเปอร์เบรก จานเบรก ภายในตัวคาลิปเปอร์จะมีกลไก ลูกสูบ  ซึ่งจะสร้างแรงกดให้กับผ้าเบรกจับกับจานเบรก

 

เหยียบเบรกแล้วมีเสียงดัง เกิดจากอะไร                                                                                                                              

          มีสิ่งแปลกปลอมเกาะที่จานเบรกหรือผ้าเบรก อาจจะเกิดจากหิน ทราย โคลน ที่เกิดจากการใช้งานอาจจะทำให้สิ่งสกปรกเข้าไปติดอยู่ที่จานเบรก และผ้าเบรกได้ สาเหตุนี้จะไม่ทำให้เกิดอันตราย ถ้าใช้งานไปสักพักแล้วยังมีเสียงดังควรนำรถเข้า ศูนย์บริการ

 

          ผ้าเบรกหมด หากเราเราเหยียบเบรกแล้วมีเสียงดังอี๊ด ๆ จะเป็นสัญญาณเตือนว่าผ้าเบรกของคุณใกล้จะหมดแล้ว ต้องรีบนำรถไปเปลี่ยนผ้าเบรกใหม่ เพราะถ้าปล่อยไว้นานอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ และหากปล่อยไว้นานเกินจะทำให้จานเบรกเกิดความเสียหายไปด้วย

 

          จานเบรกเป็นร่อง จานเบรกเมื่อผ่านการใช้งานมาแล้วสักระยะหนึ่ง ผิวหน้าจะเกิดการสัมผัส และเสียดสีกับผ้าเบรกจะทำให้เกิดการสึกเป็นร่อง หากหน้าสัมผัสของจากเบรกไม่มีความสม่ำเสมอ เมื่อทำการเหยียบเบรกผ้าเบรกจะจับจานที่ไม่เรียบสามารถทำให้เกิดเสียงดัง วิธีการแก้ไข ควรเจียจานเบรกให้สม่ำเสมอกัน

 

          เสียงจากการลุยน้ำ หากพารถไปขับลุยน้ำ หรือหลังจากล้างรถ จะเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ผ้าเบรกมีเสียงดัง เกิดจากสาเหตุผ้าเบรกเปียก วิธีการแก้ไข ควรเหยียบเบรกถี่ ๆ 2-3 ครั้ง เพื่อเป็นการไล่ความชื้นให้ออกจากผ้าเบรก เสียงที่ดังก็จะหายไปเอง


จุดสังเกตแม็กซ์ล้อเทียมหรือไม่

นักแต่งรถมือใหม่หลาย ๆ คน คงแยกไม่ค่อยออกกันว่าแบบไหนล้อแท้ และแบบไหนล้อเทียม ต้องสังเกตแบบไหนว่าอันไหนล้อแท้ อันไหนล้อเทียม วันนี้เรามีทริคดี ๆ มาให้ทุกคนสังเกตกัน

 

ตรวจตรงดีไซน์ล้อ

          หารายละเอียดของล้อแม็กซ์ที่เราจะซื้อว่ามีลวดลายตรงไหนยังไง ข้อมูลสเปคของสินค้า ลวดลายจุดเด่นของล้อแม็กซ์ เพื่อได้ทำการเปรียบเทียบกับตัวที่เราจะซื้อว่ามีลักษณะเหมือน หรือแตกต่างกัน

 

ตรวจสอบราคา

          ตรวจสอบราคาของล้อแม็กซ์ที่จะซื้อในปัจจุบัน ถึงแม้ว่าราคาของแท้ ของปลอมจะมีราคาเท่ากัน แต่บางตัวของปลอมอาจจะมีราคาที่ต่ำจนเกินไป จนสามารถเป็นจุดสังเกตได้

 

น้ำหนักล้อแม็กซ์

          ล้อแม็กซ์แท้จะมีน้ำหนักเบากว่าล้อที่ทำเลียนแบบ เพราะผลิตจากวัสดุคนละตัวกัน ล้อแท้จะมีความเบากว่าเพราะผลิตจากวัสดุที่มีคุณภาพกว่า เช่น ตัวอลูมิเนียมอัลลอยด์ ที่มีความเบา และแข็งแรงทนทาน ยังสามารถทนการกัดกร่อนได้ดี

 

สังเกตโลโก้

          สินค้าที่มาจากบริษัทจะมีมาตราฐาน มีโลโก้ที่มีลักษณะนูนขึ้นมา ชื่อแบรนด์ต้องมีความถูกต้อง และตัวอักษรต้องเป็นแบบเดียวกัน จะไม่มีความบางกว่า หรือหนากว่า โลโก้จะต้องมีความเรียบร้อย และสวยงาม ไม่มีที่ตำหนิ


เกร็ดความรู้สำหรับผู้ขับขี่รถยนต์มือใหม่

วันนี้ ‘‘ เอกการยาง ’’ มีความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ ยางรถยนต์ มาบอกท่าน เรามาทำความรู้จักเกี่ยวกับ ยางรถยนต์ ให้เข้าใจกันเถอะ ประโยชน์ของยางรถยนต์มีคุณสมบัติของยางที่สำคัญถึง 4 ประการที่จะช่วยให้คุณขับรถได้อย่างปลอดภัย

  1. คุณสมบัติของยางรับน้ำหนักรถและน้ำหนักบรรทุก

  2. คุณสมบัติของยางลดแรงกระแทกและการสั่นสะเทือนจากพื้นถนน

  3. คุณสมบัติของยางเป็นส่วนหนึ่งในการเปลี่ยนทิศทางการขับขี่

  4. คุณสมบัติของยางเป็นตัวกลางในการขับเคลื่อนและหยุดรถ

 

          ยางรถยนต์ สินค้าที่มักพบเห็นได้ทั่วไปในโชว์รูมรถยนต์บริษัทต่าง ๆ หรือร้านบริการต่าง ๆ ของรถยนต์ ยางเป็นสินค้าที่ผลิตมาเพื่อรถยนต์ รถบรรทุก รถมอเตอไซต์ ล้อยางรถบรรทุก มีสมบัติที่ทนทานและรับน้ำหนักได้ดี ซึ่งต่างจากล้อยางของรถยนต์ปกติทั่วไปที่แน่นในเรื่องของความนุ่มสบายในการทรงตัวยึดเกาะถนน และความทนทาน ในอดีตยางรถยนต์ผลิตจากยางธรรมชาติหรือเรียกว่ายาง NR ปัจจุบันมีการนำยางสังเคราะห์ประเภทยาง SBR  และยาง BR  มาผสมด้วยเพื่อปรับปรุงสมบัติของยางธรรมชาติให้ดียิ่งขึ้น

 

          โรงงานผลิตยางรถยนต์หลายแห่งทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ต่างแข่งขันกันเพื่อปรับปรุงแก้ไขสมบัติเรื่องการยึดเกาะผิวถนน  ลดการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง มีอายุการใช้งานที่ยาวนานยิ่งขึ้นอีกด้วย ลวดลายหน้ายางเรียกว่า   “ดอกยาง”   มีลักษณะเป็นร่องและคดหยัก รอยหยักจะช่วยรีดน้ำให้ไหลผ่านล้อไปทางด้านหลัง ช่วยให้ล้อหมุนไปบนถนนที่เปียกแฉะและยังยึดเกาะถนน ทำให้ผู้ขับขี่สามารถบังคับทิศทางของรถได้  ถ้าหากรถยนต์ไม่มีดอกยางเพื่อยึดเกาะถนนทิศทางของรถในขณะที่วิ่งบนถนนที่เปียกทำได้ยากลำบาก และอาจจะเกิดอันตรายภายในท้องถนนขึ้นได้

          และไม่ว่าอย่างไรก็ตามดอกยางอาจจะไม่จำเป็นเลย  หากพื้นถนนแห้งสนิทเหมือนเช่น สนามแข่งรถ ยางที่ใช้ในการแข่งใช้ยางชนิดที่พิเศษ และไม่มีดอกยาง  หน้ายางสัมผัสพื้นถนนได้ดีมาก ทำให้ยึดเกาะถนนได้ดีกว่ารถธรรมดาทั่วไปมาก แต่หากถนนที่ใช้แข่งเปียก รถแข่งก็ต้องเปลี่ยนยางมาเป็นชนิดที่มีดอกยางแทน ดอกยางเป็นส่วนที่สัมผัสกับพื้นถนนโดยตรง จึงออกแบบลวดลายให้เหมาะสมกับการใช้งานในสภาพถนนต่าง ๆ ล้อยางพิเศษสามารถวิ่งบนพื้นที่เปียกในอ่างน้ำหรือโคลนได้อย่างสบาย เพราะมีลวดลายดอกยางเป็นร่องลึกตรงกลางในแนวยาวรอบล้อยางเพื่อเป็นทางให้น้ำจากใต้ล้อไหลพุ่งผ่านออกไป และยังยึดเกาะถนนได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย

 

ดอกยาง โดยทั่วไปแล้วจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท 

แบบ 2 ทิศทาง
          สลับยางกันได้ทุกตำแหน่ง มีลักษณะดอกยางสวนทางกันไม่เน้นในการขับขี่รวดเร็ว สะดวกสบายในการขับขี่

 

แบบทิศทางเดียว
          ดอกยางไปในทิศทางเดียวกัน และยังคงมีสัญลักษณ์ลูกศรบริเวณแก้มยาง เพื่อบอกตำแหน่งทิศทางการหมุนของล้อให้ช่างสามารถใส่ได้อย่างถูกต้อง ยางประเภททิศทางเดียวนี้ถูกออกแบบมาเพื่อรีดน้ำ ได้ดีกว่าประเภท แบบ 2 ทิศทาง

 

แบบไม่สมมาตรกัน
          ดอกยางจะมีลักษณะที่ไม่เท่ากัน จะมีด้านใดด้านนึงหนากว่าข้างนึง สำหรับการขับแบบเข้าโค้ง หรือเหมาะสำหรับในรถยนต์บางยี่ห้อที่ออกแบบให้การขับขี่มีการเข้าโค้งในความเร็วสูง แต่สำหรับบ้านเราก็อาจมีไม่มากนัก แต่หลายท่านคงไม่ทันสังเกตดอกยาง หรือแค่คำนึงถึงความสวยงามของดอกยาง โดยที่ไม่ทราบรายละเอียดว่าคุณลักษณะของยางนั้นขึ้นตรงกับดอกยางด้วย ที่แน่ ๆ คือความสามารถในการรีดน้ำ กับความเงียบในการขับ สังเกตได้ดังนี้

  • ดอกยาง   ที่ละเอียดแบบซอยยิบเล็ก ๆ จะทำให้ลดเสียงเวลาตัวยางบดกับพื้นถนน   

  • ดอกยาง   ที่มีร่องจะสามารถรีดน้ำได้ดีกว่ารุ่นที่ไม่มี

  • ดอกยาง   ที่มีน้อยจะเกาะถนนแห้งได้ดี และจะไม่เกาะเลยถ้าถนนเปียก


          ในการใช้งานของยาง ดอกยางจะมีการสึกหรอลงไปเรื่อย ทำให้สมรรถนะด้อยลง จึงควรจะเปลี่ยนเมื่อถึงเวลาอันควร แต่จะรู้ได้อย่างไรว่าเวลาที่ท่านสมควรเปลี่ยนยางได้มาถึงแล้ว อายุการใช้งานของยางขึ้นอยู่กับตัวแปรสองอย่างนั่นคือ เวลา และการใช้งาน เวลาสามารถวัดได้ แต่การใช้งานจะวัดอย่างไร คำตอบคือใช้ดอกยางในการวัด ยางแต่ละรุ่นกับยี่ห้อมีเครื่องหมายบ่งบอกระดับของดอกยางที่อาจจะต่างกันออกไปโดยส่วนมากจะเป็นเครื่องหมายสามเหลี่ยมที่ขอบแก้มยางใกล้ดอกยาง สังเกตง่าย ๆ ว่าถ้ามีการกินดอกยางจนถึงเครื่องหมายลูกศรสีแดง แสดงว่าสมควรจะเปลี่ยนยางได้แล้ว หรือจะดูที่ดอกยางตื้นแล้วก็สมควรที่จะต้องเปลี่ยนดอกยาง ถ้าเวลาขับรถตอนเลี้ยวแล้วมีเสียงยางเอี๊ยด ๆ ถึงแม้ว่าจะขับช้าก็ตาม เป็นอีกสัญญาณนึงที่บอกว่าใกล้ถึงเวลาเปลี่ยนยางแล้ว


การตรวจเช็คสภาพรถยนต์

ในปัจจุบันคนส่วนใหญ่มักจะเมินเฉยต่อ การตรวจเช็คสภาพรถยนต์ จะเข้าศูนย์บริการต่าง ๆ ก็ต่อเมื่อรถยนต์มีปัญหาไม่อย่างใดก็อย่างนึงใช้รถเมื่อใช้เสร็จก็จอด น้อยคนนักที่จะหมั่นตรวจเช็คสภาพรถของตัวเองก่อนใช้งาน และหลังใช้งาน นี่ก็เป็นสาเหตุนึงที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุมากมายจากความเลินเร่อภายในท้องถนน ตัวท่านเองอาจจะระมัดระวัง แต่ไม่สามารถระวังได้ตลอดเวลา อุบัติเหตุมักเกิดจากรถยนต์มีปัญหา และไม่สามารถควบคุมได้ชั่วขณะ ทั้งนี้ทั้งนั่นควรหมั่นตรวจเช็คสภาพรถยนต์ของท่านอย่างละเอียดรอบคอบสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน การตรวจเช็คสภาพหมั่นเข้าศูนย์บริการเตรียมความพร้อมให้รถยนต์ของท่านอยู่สม่ำเสมอ เป็นอีกวิธีนึงที่ช่วยลดอุบัติเหตุ เนื่องจากสภาพรถยนต์มีความพร้อมในการใช้งาน สภาพคงทนสมบูรณ์ตลอดเวลา แถมยังทำให้รถของท่านน่าขับขี่ และขับขี่ปลอดภัย เนื่องจากเช็คสภาพอยู่บ่อยครั้ง

 

เรามาดูกันเลยว่ารถยนต์ของท่านอาจจะเกิดปัญหาอะไรได้บ้าง ?

ล้อและยางรถยนต์

          หลายท่านอาจจะงงว่าล้อ และยางรถยนต์เกี่ยวกันยังไงรถใช้ทุกวันล้อหรือยางมีปัญหาตอนขับก็ต้องรู้สึกสิ แต่ท่านคิดหรือไม่ว่าล้อ และยางก็เป็นส่วนหนึ่งที่เป็นสาเหตุ ดอกยางหมด ท่านอาจจะขับรถยนต์ทุกวันผ่านการใช้งานที่หนักหน่วง และไม่ได้เช็คสภาพของยางเลยหากยางหมดดอกที่ทำหน้าที่ยึดเกาะถนนให้คงที่อยู่กับพื้นถนนแล้วละก็อาจจะเกิดการลื่นบนท้องถนน ควบคุมบังคับรถอยู่ไม่ได้ และอาจเกิดอันตรายได้เช่นกัน

 

น้ำมันเครื่อง

          หลายท่านอาจจะนิ่งนอนใจ โอ้ย !!! 6 เดือนหรือ 10000 กิโลเมตร เปลี่ยนครั้งเดียวไม่เป็นไรหรอก หรืออาจจะ 7-8 เดือนครั้ง ขับใกล้บ้านไม่มีปัญหาหรอก วันใดที่ท่านต้องเดินทางออกต่างจังหวัดแบบเร่งด่วนโดยที่ท่านไม่เคยเช็คสภาพรถยนต์ของท่านเลย น้ำมันเครื่องถ้าไม่มั่นตรวจเช็คอย่างรอบคอบสม่ำเสมอตามระยะทางที่กำหนด อาจจะเกิดน้ำมันเครื่องแห้ง เครื่องดับ สตาร์ทรถไม่ติด 

 

ระบบไฟส่องสว่าง

          ระบบไฟที่ใช้ให้แสงสว่างที่จำเป็นอย่างยิ่งในเวลากลางคืน รถที่ท่านใช้งานอยู่บ่อยครั้งแต่ไม่ได้เช็คอะไรเลย ไม่วันใดก็วันนึงอาจจะมีปัญหา ไม่ช้าก็เร็ว หากเกิดมีสัตว์ตัวเล็กกัดแทะสายไฟ ซึ่งมันอาจจะไม่ขาดในทีเดียวอาจจะติด ๆ ดับ ๆ วันนึงหากท่านขับรถในที่การจราจรที่ติดขัดหรือที่ทึบมืด เกิดไฟท้ายหรือไฟหน้าดับขณะขับรถ ท่านจะขับขี่ให้ปลอดภัยอย่างไร 

 

ช่วงล่าง

          ช่วงล่างรถยนต์เป็นที่ที่ตรวจสอบสอบเองไม่ได้ ยกเว้นเข้าศูนย์บริการหรืออู่ ยิ่งแล้วใหญ่หากไม่มีการตรวจเช็คอะไรเลย เพราะเป็นที่ที่ไม่รู้เลยว่าจะเกิดปัญหาอะไรบ้างเพราะเราไม่สามารถเข้าไปดูได้ รถอาจจะเกิดปัญหาน้ำมันเครื่องรั่ว หรือกระแทกเสียดสีท้ายท้องรถทำให้เกิดปัญหาช่วงล่างได้

 

หม้อน้ำ ระบบหล่อเย็น

          เป็นอีกอย่างที่อาจจะทำให้เครื่องยนต์ของท่านเสีย และอาจจะเกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่คาดไม่ถึงได้ ระบบหล่อเย็น หม้อน้ำเป็นระบบสำคัญที่ช่วยให้เครื่องยนต์ของท่านทำงานไม่หนักเพิ่มความเย็น ขับความร้อนของรถยนต์ หากระบบหล่อเย็น หรือหม้อน้ำแห้งอาจจะเกิดเหตุ เครื่องยนต์น็อค และเครื่องยนต์ของท่านอาจจะพังต้องเสียค่าซ่อมแพงกว่าการเช็คสภาพที่ศูนย์บริการ

 

          รู้แบบนี้ท่านอย่าเมินเฉยต่อการตรวจเช็คสภาพรถนะครับ เพราะเราเป็นห่วงคุณด้วยความห่วงใย จาก ไทรพลัสเอกการยาง


แอร์รถยนต์ไม่เย็น ออกแต่พัดลม เป็นเพราะอะไร ?

แอร์ไม่เย็นปัญหาใหญ่หลวงของชาวสี่ล้อ  เพราะอากาศของประเทศไทยเราอย่างที่ทุกคนก็ทราบกันดีว่าร้อนมาก มีอุณหภูมิสูงขนาดทอดไข่ได้เลยทีเดียว จะเปิดประทุนหรือเปิดกระจก ก็มีมลพิษทางอากาศมากมาย ยิ่งไม่กี่ปีที่ผ่านมาเกิดปัญหาระดับโลก คือ เชื้อไวรัส Covid-19  เกิดความวุ่นวาย และเสียหายทุกประเทศทั่วโลกเกิดสายพันธุ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นแทบจะทุกวัน มันเลยไม่ดีมากนัก หากจะขับรถแบบเปิดกระจกหรือเปิดประทุน เสี่ยงติดเชื้อเป็นอย่างมาก ไม่แปลกที่รถยนต์จะเกิดการผิดปกติอย่างแอร์ไม่เย็น เพราะการใช้งานเสื่อมอายุไข ทำให้เกิดอาการผิดปกติได้  ไม่ใช่แค่เพราะการเสื่อมอายุไขแค่อย่างเดียว มันยังบ่งบอกถึงความผิดปกติของรถยนต์คุณอีกด้วย ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง สาเหตุบางครั้งอาจจะเกิดเพราะความไม่ระวังหรือคาดไม่ถึง มันสามารถส่งผลเสียให้รถยนต์ของคุณได้ภายหลังอีกด้วย

 

สาเหตุที่ทำให้รถยนต์แอร์ไม่เย็นมีสาเหตุอะไรบ้าง

          แน่นอนว่าสาเหตุมักจะไม่แน่นอนเพราะมีหลายสาเหตุที่ทำให้แอร์ไม่เย็น เช่น น้ำยาแอร์หมด สายท่อแอร์รั่ว ระบบระบายความร้อนไม่ดี ลูกสูบคอมเพรสเซอร์หลวม คลัตช์คอมเพรสเซอร์จับไม่สนิท และอื่น ๆ 

 

เราลองมาเช็ครถยนต์กันดูเถอะว่ารถยนต์ของท่านเกิดปัญหาเหล่านี้หรือไม่

น้ำยาแอร์ขาดหรือหมด

 

          น้ำยาแอร์หมดหรือขาดเป็นสาเหตุที่ทำให้แอร์ไม่เย็นหรือเย็นน้อยลง จะมีแต่ลมร้อนออกจากช่องระบาย วิธีแก้ คือ ลองสตาร์ทเครื่องยนต์เปิดระบบปรับกาศ เพื่อให้คอมเพรสเซอร์ทำงาน และตรวจสอบช่องเติมน้ำยา หากหมดให้รีบเติมแต่หากน้ำยายังคงมีปกติ ควรรีบพาเข้าศูนย์บริการใกล้บ้านโดยเร็ว

 

ตู้แอร์ สายท่อแอร์ หรือข้อต่อต่าง ๆ เกิดรอยรั่วซึม

          ตู้แอร์ สายท่อ หรือท่อต่าง ๆ เกิดรอยรั่ว หรือชำรุดมีสาเหตุที่ทำให้แอร์ไม่เย็นจึงทำให้ค่าแรงดันแอร์ลดลง ลองตรวจสอบโดยการนำยาล้างจานหรือฟองสบู่ ราดบริเวณท่อหากเกิดรอยรั่วหรือชำรุด ก็จะเกิดฟองกาศ ออกมาวิธีนี้จะทำให้เรารู้ตำแหน่งของรอยรั่วนั่น

 

ระบบระบายความร้อนบนแผงคอยล์ร้อนไม่ดี

          วิธีตรวจสอบง่าย ๆ คือ เปิดฝากระโปรง ติดเครื่องยนต์ทิ้งไว้ และเปิดแอร์ เมื่อคอมเพรสเซอร์แอร์ทำงาน ลองสังเกตพัดลมหน้าแผงคอยว่ามีอาการผิดปกติ หรือมีเสียงอะไรขัดข้องหรือเปล่า หากแผงคอยร้อนสกปรกก็ควรทำความสะอาด เพื่อให้ระบายความร้อนของน้ำยาแอร์กลับมาทำงานปกติระบบแอร์ก็จะดีขึ้น

 

ลูกสูบภายในคอมเพรสเซอร์หลวมไม่มีกำลังอัด

          ลูกสูบคอมเพรสเซอร์หลวมหรือเสื่อมคุณภาพส่งทำให้แอร์ไม่เย็นเท่าที่ควรเพราะลูกสูบจะทำให้ความดันน้ำยาแอร์น้อยลงปริมาณน้ำยาแอร์ที่เข้าไปไม่เพียงพอ แก้ไขโดยการเปลี่ยนใหม่ทันที

 

ชุดวาล์วและดรายเออร์อุดตัน หรือเสื่อมคุณภาพ

          ชุดวาล์วหรือดรอยเออร์มีปัญหาจับไม่สนิท เป็นอีกอย่างที่ทำให้แอร์ไม่เย็นหรือาจจะไม่เย็นเลยเพราะชุดวาล์วและดรอยเออร์อุดตันแอร์ทำงานไม่เต็มที่ ลองเช็คโดยการติดเครื่องยนต์หากแอร์มีเสียงดังลองเร่งเครื่องสังเกตอาการหากเร่งแล้วเย็น แปลว่าอุดตันต้องถอดเปลี่ยนชุดวาล์ว ดรอยเออร์ใหม่

 

คลัตช์คอมเพรสเซอร์จับไม่สนิท

 

          ปัญหาคลัตช์คอมเพรสเซอร์จับไม่สนิท หรือปัญหาคลัตช์ลื่น เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้แอร์รถเย็นบ้าง ไม่เย็นบ้าง หรือบางทีอาจจะไม่มีความเย็นเลย มีแต่ลมออกมาจากช่องแอร์ ซึ่งเกิดจากกระแสไฟที่ส่งเข้ามายังคลัตช์แม่เหล็กมีปริมาณน้อย สามารถแก้ไขได้ดังนี้

  1. เช็คสายไฟที่ส่งมาที่คอมเพรสเซอร์

  2. เช็คชุดสวิตท์เซ็นเซอร์ทำหน้าที่ควบคุมความเย็น

  3. ปรับหน้าคลัตซ์ให้เรียบหรือเปลี่ยนใหม่ (อาจจะมีค่าใช้จ่ายที่สูง)

 

สายพานคอมเพรสเซอร์หย่อนมากเกินไป

          สายพรานคอมเพรสเซอร์หย่อนจะทำให้คอมเพรสเซอร์ที่ทำงานอยู่ฟรีได้ สาเหตุทำให้คอมเพรสเซอร์ไม่หมุนลองเช็คโดยการติดเครื่องยนต์แล้วเปิดแอร์ หากสังเกตดูว่ามีอาการคอมเพรสเซอร์ทำงานอยู่แล้วเกิดเสียงดัง ส่งผลให้แอร์รถไม่ค่อยเย็นหรือไม่มีความเย็นเลย สามารถแก้ไขโดยการปรับระดับสายพานให้ตึงขึ้น แต่ต้องระวัง หากสายพานมีรอยแตกหรือฉีกขาดควรเปลี่ยนเส้นใหม่ ไม่ควรใช้เส้นเดิม

 

การใช้น้ำยาแอร์ที่ผิดประเภท

          เลือกน้ำยาตามใจชอบทำให้แอร์ไม่เย็นแล้วยังส่งผลต่อระบบเครื่องยนต์ทำให้อุปกรณ์แอร์เกิดความเสียหาย และค่อย ๆ หมดอายุการใช้งานไป          

 

ฟิวส์ชุดชำรุดเสียหาย     

          บางครั้งอาจจะเกิดจากสาเหตุที่เราคาดไม่ถึงอย่างเช่น ฟิวส์เสียหรือไหม้จะส่งผลต่อการทำงานของแอร์หากไม่แก้ไขอาจจะทำให้ลามไปถึงวงจรอย่งอื่นได้เช่นกัน

 

รถยนต์มีความร้อนสูง

          สาเหตุที่ทำให้แอร์ไม่เย็นอาจจะไม่เกิดจากแอร์โดยตรงก็ได้ เนื่องจากจากรถยนต์มีความร้อนมากเกินไปทำให้พัดลมระบายความร้อนได้ไม่ดีมากนักทำให้เกิดผลกระทบไปถึงความเย็นของแอร์ได้ 


แบตเตอรี่รถยนต์ ใช้น้ำเปล่าแทนน้ำกลั่นได้หรือไม่ ?

แบตเตอรี่รถยนต์ เป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญมากอีกอย่างหนึ่ง มีหน้าที่เก็บและกระจายกระแสไฟให้กับส่วนต่าง ๆ  รวมถึงการสตาร์ทเครื่องยนต์และในแบตเตอรี่จะมีน้ำกรดภายในเมื่อใช้งานระยะหนึ่งจะมีการระเหยออกจำเป็นต้องเติมน้ำเข้าไปหลายคนยังสงสัยสามารถเติมน้ำเปล่าแทนได้ไหม ?

 

แบตเตอรี่ที่นิยมใช้รถยนต์หรือชนิดอื่น ๆ จะมีอยู่ 4 ประเภท ได้แก่

แบตเตอรี่แห้ง

          มักเป็นแบตเตอรี่ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะมีขั้นตอนการดูแลที่ไม่ยุ่งยาก หรือแทบจะไม่ต้องยุ่งยากไม่ต้องดูแลอะไรเลยเพราะไม่ต้องเติมน้ำกลั่นสามารถทิ้งไว้ในสภาพไม่มีประจุไฟนานได้กว่าแบตเตอรี่ธรรมดา

 

แบตเตอรี่น้ำ

แบตเตอรี่ดั่งเดิมส่วนผสมจะประกอบด้วยโลหะผสมระหว่างตะกั่วกับพลวง มีความทนทานต่อประจุไฟอายุการใช้งานนานต้องมั่นตรวจสอบระดับน้ำกลั่น และอาจจะเติมสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพื่อให้แบตเตอรี่พร้อมใช้งานเสมอ

 

แบตเตอรี่กึ่งแห้ง

          แบตเตอรี่ที่ต้องควรตรวจสอบระดับน้ำกลั่นอีกเช่นกัน แต่อาจจะไม่เท่ากับแบบน้ำเพราะน้ำกรดภายในแบตเตอรี่แบบกึ่งแห้งนั่นจะมีความเข้นข้นทำให้ระเหยช้ากว่าแบบน้ำ

 

แบตเตอรี่ไฮบริด

          แบตเตอรี่ที่พัฒนามาจากแบบน้ำภายในประกอบด้วยโลหะผสมตะกั่วกับเคลเซียมเฉพาะแผ่นธาตุลบเพื่อลดการระเหยของน้ำกลั่นที่สูงมากในแบตเตอรี่มักใช้งานกับรถหนัก ๆ เช่น รถบรรทุก รถโดยสาร หรือรถยนต์รับจ้าง ราคามักสูงกว่าชนิดอื่น

 

น้ำกรดและน้ำกลั่น แตกต่างกันอย่างไร

น้ำกรด เป็นน้ำกำมะถันเจือจางที่ทำให้ขั้วลบเกิดปฏิกิริยาจนเกิดคลื่นไฟฟ้ามักใส่ในแบตเตอรี่ก่อนการใช้งานครั้งแรกเท่านั้น

น้ำกลั่น คือน้ำที่มีความบริสุทธิ์สูง โดยได้การควบแน่นด้วยเครื่องกลั่นน้ำซึ่งจะได้น้ำที่มีค่าความเป็นกรดเหมาะสำหรับการเติมแบตเตอรี่รถยนต์

 

แบตเตอรี่รถยนต์ ใช้น้ำเปล่าเติมได้ไหม ?

          เคยได้ยินใช่ไหมว่า ?  ให้ใช้น้ำเปล่าเติมแบตเตอรี่รถยนต์แทนน้ำกลั่น เพราะเป็นน้ำสะอาดทดแทนกันได้ แต่ที่จริงแล้วน้ำกลั่นเป็นน้ำที่ไม่มีธาตุต่าง ๆ เจือปนมีความบริสุทธ์สูง แต่น้ำเปล่านั่นมีแร่ธาตุมากมายไม่จำเป็นต่อแบตเตอรี่หากเติมน้ำเปล่าแทนอาจจะส่งผลต่อแรงดันไฟ

          แบตเตอรี่เป็นสิ่งที่เราควรดูแลเอาใจใส่และดูแลอย่างถูกวิธีเพื่อการใช้งานที่ยาวนานและประหยัด การใช้แบตเตอรี่ควรเลือกตามความเหมาะสมกับรถ ซึ่งจะมีอยู่มากมายหลายแบบ